31.10.10

ทำอย่างไรถึงจะเป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ (How to be a professional Programmer)



The Programmerประเทศไทย กำลังก้าวเข้าสู่ยุค IT ยุคนี้ทุกคนจะต้องใช้อุปกร์ ทาง IT ไม่ว่าจะเป็น PDA โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย ตอนนี้ก็อยุ่ที่คุณเอง เลือกจะช่วยไห้ประเทศไทย เดินทางสุ่ยุคนี้ไปในทิศทางได มันก็มีอยู่ 2 ทิศทาง คือ ผู้ใช้ กับผู้สร้าง ถ้าเป็นผู้ใช้ นั่นก็หมาย ความว่า ประเทศไทย จะต้องจ่ายเงิน จากระเป๋า เพื่อซื้อ Software เงินก้จะใหลออกนอกประเทศ แต่ถ้าเป็นผู้สร้าง นี่หล่ะคือจุดสำคัญแห่งความยิ่งใหญ่ เราจะเป็นผู้รับเงินจากต่างประเทศ เอาหละตัสินใจว่าจะช่วยประเทศทางไหน ถ้าคุณเลือกเป็นผู้สร้าง คุณจะต้องเป็น Programmer และการที่คุณจะ ไปสู่จุดหมายนั้นคุณ จะต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ ต้องทำให้ได้ 5 ข้อ ดังต่อ ไปนี้ครับ

        1. สำรวจดูว่า ตัวเองมีคุณสมบัติเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่

        2. ฝึกเขียนโปรแกรม

        3. ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม

        4. เผยแพร่ผลงาน

        5. กระทำตามข้อ 1 - 4 อย่างสม่ำเสมอ

        นี่ คือ 5 ข้อหลักของโปรแกรมเมอร์ ถ้าหากคุณทำได้ทั้ง 5 ข้อนี้ คุณก็จะได้เป็น โปรแกรมเมอร์ มืออาชีพ เลยทีเดียว เรามาดูรายละเอียดของแต่ละข้อกันเลยดีกว่าครับ ว่ามีราบละเอียดอย่างไรบ้าง

สำรวจดูว่า ตัวเองมีคุณสมบัติเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่
        เรามาสำรวจดูตัวเราก่อนว่า เหมาะสมกับการเป็น โปรแกรมเมอร์ หรือไม่ ลองถามตัวเองดูสิว่า คุณต้องการเป้นโปรแกรมเมอร์ อย่างจริงจังหรือไม่ แล้วถ้าเราไม่ได้จบ คอมพิวเตอร์มาหล่ะ เราเป็นโปแกรมเมอร์ได้หรือไม่ ตรงนี้ ผมเองก็ขอตอบจากความรู้สึก สวนตัวเลยว่า ไม่จำเป็นครับ เราลองทบทวนและ มองโลกให้กว้างครับ ว่าโปรแกรมเมอร์ ที่เก่งๆ หลายคน ไม่ได้จบคอมพิวเตอร์มาโดยตรง และอีกหลายคนก็จบคอมพิวเตอร์มาโดยตรง แต่บางคนจบคอมพิวเตอร์มาโดยตรง ก็เขียนโปรแกรมไม่เป็น เป็นแค่ งูงูปลาปลา ก็ถมไป สาเหตุมาจากอะไรหรือครับ ใจเขาไม่รักกับการเป็น โปรแกรมเมอร์ไงครับ ดังนั้นวุติการศึกษาไม่ใช่อุปสรรค ในการเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ

       

สาเหตุทีผมบอกว่า วุฒิการศึกษา ไม่ใช่อุปสรรคต่อการเป็นโปรแกรมเมอร์ ก็เนื่องจาก ตอนเรายังเด็ก เราไม่ได้เลือกเรียนสายการเรียน ที่เรารักครับ แต่เราเลือกเรียน ตามเพื่อนบ้าง ตามพ่อแม่ผู้ปกครองต้องการบ้าง เพราะในช่วงวัยนั้น เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ มักตามเพื่อน หรือบางคนเรียนเพื่อตามใจพ่อแม่ แต่พอมาถึงวัยหนึ่ง เราก็มารู้ตัวว่าเราไม่ได้ชอบมันเลย ก็ทำให้เราเสียเวลาไปมากแล้ว จะกลับไปเรียน หรือก็ เสียค่าใช้จ่ายมาก แล้วแต่เหตุผล ของแต่ละคนไป ดังนั้นผมจึงขอ แนะนำว่า จงอย่ายึดติดกับค่านิยมของ คำว่าวุติการศึกษา ปริญญา ต่างๆ ทั้งสิ้นหากเราอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ มันอยูที่เราต้องการจะเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่ต่างหาก รักการเป็นโปรแกรมเมอร์ มากแค่ไหน ก็ทุ่มเทให้กับมันเต็มที่

        คุณมรความเพรียรพยายามหรือไม่ เพราะการเป็นโปรแกรมเมอร์ จพต้องมีความเพรียร ไม่ยอมแพ้ต่อปัญหา ต่างๆ เมื่อเขียนโปรแกรมแล้วติดปัญหา หากคุณเขียนโปรแกรมแล้วติดปัญหา คุณต้องพยายามแก้ไขปัญหาให้ได้ อย่ายอมแพ้เป็นอันขาด หากคุณยอมแพ้ คุณก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ดังนั้น ความเพรียรพยายาม เป็นกติกาสำคัญข้อหนึ่งของโปรแกรมเมอร์เลยทีเดียว ต้องมีความคากเพียรไม่ย่อท้อต่อสิ่งได และจะยอมแพ้ก้ต่อเมื่อ หาหนทางจนสุดกู่แล้วก็ไม่พบ จึงจะยอมแพ้ แต่การยอมแพ้ ต้องยอมแพ้อย่าง โปรแกรมเมอร์ คือ ยอมแพ้ในเวลานั้น เท่านั้น แต่เก็บมันเอาไว้เป้นการบ้าน ค่อยคิดค่อยหาทางแก้ปัญหา มันอีกทีหลังไปเรื่อยๆ มันต้องทำได้สิ สักวันคุณก็จะแก้ปัญหาได้ หมายความว่า ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ ก็อย่าจมอยู่กับมัน แต่ พักมันเอาไว้ก่อนต่างหากหล่ะ สุดท้ายก็แปลว่า ไม่ยอมแพ้นั่นเอง

        โปรแกรมเมอร์จะต้องคิด อย่างที่คนอื่นเขาไม่คิด ทำในสิ่งที่ตนอื่นเขาไม่ทำ หมายความว่า เราต้องคิด ในสิ่งที่คนอื่น คิดไม่ถึง ทำในสิ่งที่คนอื่นเขาทำไม่ได้ เพราะโปรแกรมเมอร์ จะต้องสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ออกมาเสมอ ดังนั้น หากเราคิดแต่จะทำตามคนอื่น ลอกเรียนแบบคนอื่นๆ อยู่ เราก็ไม่สามารถพัฒนาโปรแกรมของเราให้คนอื่น เขารู้สึก ประทับใจ และต้องการได้ เพราะอะไรก็ตามที่ง่ายๆ หลายคนก็มักจะทำกัน หาที่ไหนก็ได้ ราคาและคุณค่าเลยไม่มี แต่ถ้าอะไรที่ยากๆ หายาก ไมาค่อยมีคนทำ หรือไม่มีใตรทำเลย นั่นแหละครับ ของสิ่งนั้นมันจะมีค่า น่าจดจำและประทับใจ

ฝึกเขียนโปรแกรม
        เมื่อคุณสำรวจตัวของคุณเองแล้วว่าคุณมีคุณสมบัติตามข้อ 1 คุณก็กระทำตามข้อ 2 ต่อไปนี้ แต่ถ้าคุณยังไม่มีคุณสมบัติตามข้อ 1 มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ครับ ทางที่ 1 คุณก็ควรจะเลิกลมความตั้งใจที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ระดับมืออาชีพได้แล้วครับ เพราะคุณฝืนไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะสิ่งที่คุณจะเจอเมื่อเป็นโปแกรมเมอร์ นั้นมันช่างเต้มไปด้วยสิ่งตื่นเต้น และปัญหามากมายเสียเหลือเกิน ล้มคเลิกความคิดเสียเถิด อย่าเป็นมันเลย โปแกรมเมอร์นี่ แต่ถ้าคุณยังมีคว่มต้องการที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ อยู่หล่ะก็ ข้อที่ 2 ที่ปมจะแนะนำคือ กระทำตามข้อ 1 ให้สำเร็จครับ เมื่อคุณกระทำสำเร็จ ตุณก็มีคุณสมบัติ พร้อมที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ดังนั้นเมื่อคุณ พร้อมตามคุณสมบัติแล้ว คุณจะต้องกระทำ ข้อนี้ครับ

        ฝึกฝนตัวเองให้เก่งกล้าสามารถ ครับ โดยการฝึกเขียนโปแกรม แล้วจะเขียนโปแกรมภาษาอะไรดี นี่ไง ที่โปรแกรมเมอร์ หลายคนต่อหลายคนเจอปัญหา แล้วไปไม่ถึงฝัน เพราะทุดคนคิดแต่เพียงว่า อะไรที่ง่ายๆ นี่หล่ะ ทำตรงนี้หละ ถ้าคิอย่างนี้เหมะสมกับอาชีพอื่นครับไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จเป็นโปรแกรมเมอร์ เพราะจะใช้คำว่า เริ่มต้นจากสิ่งที่ง่ายไปหายาก นั้นผิดครับ สำหรับการเป็นโปแกรมเมอร์ เพราะมันจะทำให้เรายึดติดและท้อถอยง่ายๆ เมือเจอปัญหา ดังนั้นคุณควรเลือกเรียนภาษา ที่ยากๆ ไว้ก่อน เพราะว่าภาษาคอมพิวเตอร์ อะไรก็ตามที่ยากๆ เขียนยาก ย่อมเข้าไกล้ภาษาเครื่องมากที่สุด เพราะการเขียนโปรแกรมนั้น เป็นการเขียนโปรแกรมเพื่อบอกให้คอมพิวเตอร์ ทำงานตามเรา ดังนั้น การเข้าถึงและเข้าไกล้ภาษาเครื่องมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้คอมพิวเตอร์ เข้าใจมากเท่านั้น

        แล้วจะใช้ภาษา อะไรดี ขอแนะนำดังนี้ครับ ภาษาที่ ทีเครื่องมือ แบบ Visual ช่วยเยอะแยะไปหมด ย่อมมีขีดจำกัดของมัน ภาษาที่มีเครื่องมือแบบ Visual น้อย ก็จะลดขีดจำกัดลงได้ครับ ดังนั้นขอแนะนำภาษา จากยากไปหาง่าย เพียงบางตัวดังนี้ครับ Assembly, C++, C++ Builder, C# Builder, Visual C++, Visual C#, Delphi7,Pascal, Delphi8 for .Net, Visual Basic.Net, Visual Basic เป็นต้น จะสังเกตุเห็นว่า Assembly เป็นภาษาที่เข้าไกล้ภาษาเครื่อง มากที่สุด เขียนยาก ไม่มี Tools ช่วย ต่อมา เป็น C++ เขียนง่ายขึ้นมาหน่อย แต่ไม่มี Tools ช่วย ต่อมา เป็น C++ Builder ก็เขียนว่าย ขึ้นมาอีกนิด มี Tools ช่วยพอประมาณ ต่อมาเป็น C# Builder ก็มี Tools ช่วยมากมาก เขียนง่ายเข้าไปอีกระดับ จนสุดท้าย Visual Basic โอ้พระเจ้า Tools เพียบ เขียนง่ายมากๆ แค่ เขี่ยๆ ก็เสร็จแล้วครับ งายจริงๆ ไม่ต้องใช้สมองในการคิดเลย ช่วยให้เราเบาสมองไปได้เยอะ และทำให้สมองเราไม่ได้ใช้งาน เป็นใงครับ เมือสมองไม่ได้ใช้งาน ก็สมองตื้อสิครับ

        ทีนี้ ก็เป็นอันว่า เลือกเอาภาษาที่คุณชอบ แต่ อย่าทิ้งภาษาอื่นนะครับ เพราะภาษา ง่ายๆ นี้ก็ยังช่วยเราได้เยอะเช่น ความต้องการของโปรแกรมแบบ ง่ายๆ ก็ใฝช้ภาษาง่ายๆ เขียน ทุ่นเวลาดี ดังนั้น ขอแนะนำให้ฝึกทุกตัว แต่ ยึดภาษายากๆ เป็นหลักไว้ 1 ตัว เพื่อสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ คุณควรฝึกเขียนโปรแกรมอย่าง สม่ำเสมอ ครับ จะได้คล่อง และควรเริ่มฝึกจากถาษา ยากๆ เป็นอันดับแรก ฝึกฝนจนชำนาญ อย่าละทิ้งนะครับ

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
        หลังจากที่คุณผ่าน ข้อ 1 และข้อ 2 มาแล้ว ข้อ 3 นี้เป็นข้อที่คุณขาดไม่ได้เลยทีเดียว เนื่องจากการที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ระดับมืออาชีพนั้น ก็คือการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม อยู่เสมอ โปรแกรมเมอร์ จะต้องเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่ง จะต้องเพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากเราหยุดนิ่ง เราจะตามโลกไม่ทัน เพราะเทคโนโลยีทุกวันนี้ ก้าวไกลและรวดเร็ว เสียเหลือเกิน หากเราหยุดเดินเพียงก้าวเดียว เราอาจตามโลกไม่ทัน อีกหลายพันก้าว เลยทีเดียว ดังนั้นการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม จึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง เพราะในโลกนี้ ไม่มีใคร เก่งที่สุด และเก่งไปหมดทุกอย่าง ดังนั้น ความรู้ เปรียบดังอาวุธ เอาไว้ต่อสู้กับความไม่รู้ ข้อมูลคือมูลเหตุแห่งความรู้ เราจงค้นหาข้อมูล มาเพิ่มเติมความรู้ให้กับตัวเราเองเถิด

        การที่เราค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่เสมอนั้น ไม่ใช่แค่เป็นการเพิ่มพูนความรุ้เท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ไขปัญหา เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมของเราด้วย เนื่องจากการเขียนโปรแกรมทุกครั้ง เราขะต้องติดปัญหาเสมอ รับรองได้ ไม่มีโปรแกรมเมอร์คนใด ที่เขียนโปรแกรมโดยไม่มีติดปัญหาเลย จะต้องมี ดังนั้น เราจึงต้องค้นหาข้อมูลเข้ามาช่วยแก้ไข ดังที่ว่า ไม่มีใครเก่งไปทุกอย่าง เราเก่งจุดหนึ่ง อีกคนเก่งจุดหนึ่ง เมื่อนำมารวมกัน ก็จะขจัดความไม่เก่ง ของแต่ละคนได้ ก็จะขจัดปัญหาได้ โดยการแลกเปลี่ยน ความรู้ซึ่งกันและกัน ปัญหาต่างที่พบก็จะคลี่คลายลงได้ แต่ถ้ามัวแต่คิดอยู่คนเดียว หัวของคุณอาจระเบิดตูม ขึ้นมาก็ได้ จริงไหมครับ

        นอกจากเป็นการช่วยแก้ปัญหาในการเขียนโปรแกรมแล้ว การคนหาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่เสมอ ยังช่วยให้เรารุ้ความต้องการของโลกปัจจบัน ว่าต้องการอะไร ขาดอะไร เราสามารถนำความต้องการเหล่านั้น มาพัฒนาเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ด้วยฝีมือของเราเอง ออกสู่ท้องตลาดได้ หากเราผลิตผลงานที่ไม่ตรงกับความต้องการของมนุษย์ แน่นอน ผลงานนั้น ย่อมไม่มีค่า และไม่มีความหมายใดๆ เลย เพราะความรู้ จะนำเราไปสู่โลกแห่งความจริง และมองออกถึงโลกอนาคต เพราะคุณจะกลายเป้นคนที่รู้จักวิเคราะห์ หาเหตุ และ ผล แห่งความเป็นไป เราจึงรู้ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น และ จะต้องทำอะไรต่อไป เมื่อเรารู้ เราก็ย่อมจะผลิต ผลงานการเขียนโปรแกรมที่มีคุณภาพ ออกสู่ท้องตลาด อย่างตรงจุดประสงค์ และกลุ่มเป้าหมายได้

        แล้ว... แหล่งค้นคว้าข้อมูลหล่ะ อยู่ที่ไหน ตรงนี้ มีเต็มไปหมดเลยครับ อันได้แก่ หนังสือวารสาร ต่างๆ หนังสือวิชาเฉพาะด้าน มากมายเต็มไปหมดเลย ทางรายการตาม สถาณีวิทยุ โทรทัศน์ ก็มี สารคดีต่างๆ แม้กระทั่งสื่อ CD-ROM ต่างๆ และที่ค้นหาข้อมูล ได้อย่างมหาศาล ก็คือ Web site ใงครับ เป็นแหล่งค้นหาข้อมูลที่ยิ่งใหญ่ เหมือนกัน และโดยมากแล้ว จะเป็นข้อมูลที่มีการ Update บ่อย และเป้นข้อมูล Share จากประสบการณ์ ของกลุ่ม โปรแกรมเมอร์ ด้วยกัน ดังนั้นเราก็รู้แล้วว่า แหล่งจ้อมูลมีมากมาย สุดแล้วแต่ที่เราจะหาได้ ใครชอบแบบใหน ก็เอาอย่างนั้นครับ แต่ผมว่า ค้นหาข้อมูลทุกรูปแบบ ครับดีกว่าหาข้อมูลจากแหล่งเดียว จะได้นำข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน วิธีการเลือกซื้อหนังสือ ก็เหมือนกัน พยายาม เลือกซื้หนังสือที่เหมาะสม และน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะ หนังสือแปล ที่แปลมาจากหนังสือภาษาต่างประเทศ ต้องดุให้แน่ใจว่า ผู้แปล หนังสือเล่มนั้น ต้องเป็น โปรแกรมเมอร์ ไม่ใช่นักแปลภาษาอังกฤษ เพราะ ศัพท์ บางคำ ที่เป็นภาษาของโปรแกรมเมอร์ ไม่ได้มีความหมาย ตรงกับความหมาย ของนักแปลภาษาทั่วไป ผมเห็นหลาย ต่อหลายเล่ม ที่แปลผิด น่าสงสาร แม้กระทั่ง ครูผู้สอนเองยังนำเอาสิ่งผิดๆ นั้นไปสอนนักเรียน ต่ออีก แล้วเมื่อไร เราจะได้โปรแกรมเมอร์ที่รุ้จริง อย่างที่ผมเห็นมา การแปล เรื่อง Object และ Class ดันไปแปลว่า Class คือพิมพ์เขียว พิมพ์เขียวอะไรกัน มั่วกันไปใหญ่ นักเรียน ตามมหาวิทยาลัย ก็นำเอาความรู้ที่ผิดๆ นัน มาใช้กัน จนชั่วลูกชั่วหลาน แล้วเมื่อไร คนไทยจะมีโปรแกรมเมอร์ระดับ มืออาชีพ เก่งๆ กับเขาสักที อย่างนี้แหละ ที่ผมจะบอกว่า อย่าเชื่อหนังสือมากนัก จงเชื่อโปรแกรมเมอร์ดีกว่า ครับ แล้วเราจะได้ไม่เสียดาย เงินที่ซื้อหนังสือ จะซื้อที ต้องได้หนังสือดีมีคุณค่า จริงใหมครับ

เผยแพร่ผลงาน
        เมื่อเรามีผลงานของเราออกมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ เผยแพร่ผลงาน ออกสู่ สาธานณะชน เพื่อให้คนอื่นได้เห็น ได้สัมผัสกับผลงานของเรา หากเราไม่นำผลานของเราออกเผยแพร่สู่สายตา ของคนอื่น แล้วเขาจะรู้ไหมครับว่าเราเขียนโปรแกรมเป็น มีฝีมือขนาดไหน การเผยแพร่ผลงานนี่แหละ มีประโยชน์ที่สุด เพราะการที่เรามีผลงานเผยแพร่ออกไป ให้หลายคนเห็น หลายคนรู้ ต่อไปคุณก็จะมีชื่อเสียง มีหลายคนรู้จัก อีกไม่นาน งานและเงิน จะมาหาคุณเองโดยที่คุณแทบตั้งตัวไม่ติดเลยทีเดียว เพราะอะไรหรือครับ ก็เขาเชื่อมั่นในตัวคุณแล้วใงครับ จากผลงานที่คุณได้ เผยแพร่ออกไป อย่างโบราณเขาว่า สวรรค์มีตา ฟ้ามีใจ ใงครับ

        แล้วเราจะเผยแพร่ผลงานอย่างไร ไม่ยากครับ วิธีแรก ง่ายที่สุดเลยครับ ส่งตัวอย่างโปรแกรมให้กลุ่มเป้าหมายไปทดลองใช้ วิธีนีได้ผลดีทีเดียวครับ สำหรับคนที่กว้างขวาง รุ้จักคนเยอะแยะไปหมด ก็ทำได้ง่าย แล้วคนที่ไม่ค่อยรู้จักใครหล่ะ ก็มีวิธีเช่นกันครับ ก็โดยการเผยแพร่ผลงานผ่าน Web site ใงครับ เช่นเข้าไปช่วยตอบกระทู้คำถาม ของกลุ่ม โปรแกรมเมอร์ต่างๆ ตาม Web board หรือ Forum Board ต่างๆ เมื่อเราเข้าไปช่วยตอบ ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ นั่นแหละครับ หมายความว่าคุณได้สร้างผลวานออกไปแล้ว และถ้าหาก อยากเผยแพร่ผลงานอะไรออกไป แต่ไม่มีใครถามสักที ก็ตังคำถามเองเสียเลย และคอยดูว่าจะมีคนสนใจคำถามนั้นหรือไม่ พอมีคนตอบ มา เราก็ไปเสริมสักหน่อย หรืออีกอย่าง เราก็ตังกระทู้เป็น เนื้อหาไปเลยไม่ใช้คำถาม เป็นบทความบทความหนึ่งไปเลย นี่ก็นับเป็นการเผยแพร่ ผลงานอีกวิธีหนึ่ง และค่อนข้างได้ผลดีทีเดียว ส่วนอีกวิธี ก็คือ เผยแพร่ตัวอย่าง Source Code ไปเลยครับ วิธีนี้ได้ผลดีเยี่ยมเลยทีเดียวครับ เพราะเป็นทั้ง บทความ และมี Source Code ตัวอย่างให้ Download อีกต่างหาก วิธีนี้รับรองประทับใจหลายคนเลยทีเดียวครับ

        หลายคนก็บอกว่า จะลงเนื้อหา บทความได้ที่ไหน เพราะ Web board หรือ Forum board หลายที่ จำกัดจำนวนตัวอักษรในการลง ทำให้ลงเนื้อหาได้ไม่หมด เอาหล่ะตรงนี้ ผมก็เห็นใจ ผมเลยตัดสินใจเด็ดขาด เพื่อเป็นสื่อกลางนั้น โดยการปรับปรุง Forum board ขึ้นหมาใหม่ ไม่จำกัดตัวอักษรใน และสามารแทรกรูปภาพในเนื้อหาได้ เป็นลักษณะ Visual HTML Editor เพื่อให้ทุกคนสามารถเผยแพรผลงานออกไป พร้อมทั้งไปนั้งหลังขดหลังงอ สร้าง Code Develop ขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนสามาถ ที่จะส่งบทความพร้อม Source Code เพื่อเผยแพร่เช่นกัน หน้าตาคล้ายกัน ที่นี่ จะให้ความสำคัญและ สนับสนุนทุกคนครับ

กระทำตามข้อ 1 - 4 อย่างสม่ำเสมอ
        ทำไมเราต้องทำตามข้อ 1 - 4 อย่างสม่ำเสมอ ก็เพราะว่า เราจะได้ฝึกฝน อยุ่ตลอดเวลา เพราะการฝึก ทำให้เราแกร่ง และเราก็จะได้เป็นโปรแกรมเมอร์ ระดับมืออาชีพใงครับ ถ้าเราขาดการฝึกฝน เราก็จะอยู่กับที่ ก้าวไม่ทันโลก แล้วก็ไม่มีโอกาส ได้เป็นมืออาชีพดังใจหวังไว้ นะสิครับ

        สุดท้ายนี้ ก็ขอให้ทุกคนเป้นโปรแกรมเมอร์ สมใจครับ หากต้องการปรึกษาผมโดยตรง ก็ติดต่อมาได้ครับ ....Webmaster

…………. ที่มา www.thai-programmer.com

อ่านเพิ่มเติม...

19.10.10

ติดตั้ง NetBeans 6.9.1ให้แปลภาษา C

NetBeans 6.9.1 Overview      หลังจากที่ได้ชวนเพื่อนๆ ย้อนกลับมาเริ่มศึกษาภาษาซี แบบจริงๆจังๆ ไม่เอาแค่หยุด printf ธรรมดาๆ แล้ว ผมก็ได้มองหา IDE ดีๆสักตัว เอาไว้ลอง complie ภาษาซี จริงๆก็มีอยู่หลายตัวมาก ทั้งเก่าและใหม่  แต่ด้วยความที่ผมอยากได้ IDE ที่ออกมาใหม่ๆ แล้วก็ฟรีด้วย ก็เลยมาลงเอยที่ IDE ของ NetBeans 6.9.1 ซึ่งเป็น IDE ที่นับว่าน่าใช้ตัวหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัว NetBeans นี้สามารถที่จะใช้เขียนโปรแกรมได้หลากหลายภาษาเหมือนกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าที่เครื่องของเราลงตัวแปลภาษาตัวไหนไว้บ้าง

วันนี้ เราจะมาติดตั้ง NetBeans 6.9.1 กับตัว complier Cygwin เพื่อเอามาแปลภาษาซี

อันดับแรก ก็ไปดาวน์โหลด NetBeans กันก่อนเลยครับ ขนาดไฟล์ก็ขึ้นอยู่กับว่า เพื่อนๆจะเอา NetBeans มาใช้ทำ IDE ภาษาอะไรบ้าง ในที่นี้ผมเลือกเอา C/C++ ก็พอ (เพราะเราจะเอามาทดสอบภาษาซี ก็พอ)

NetBeans 6.9.1 Install and configuration

download NetBeans

แล้วก็ติดตั้งไปตามปกติ ที่เราเคยชินนั่นแหละครับ ตรงนี้ไม่มีอะไรพิเศษ หลังจากติดตั้งแล้ว มันจะยังไม่เข้าใจภาษาซี ครับ ให้เราติดตั้ง complier ภาษาซีก่อน ในที่นี้ผมเลือก Cygwin ครับ เพื่อเป็นตัวแปลภาษาซี

เวอร์ชั่น ที่ผมใช้ติดตั้ง gcc 3.4.4  Cygwin C compiler โดยไปที่เว็บของ Cygwin ก่อนครับ  คลิก หรือเลือกไฟล์ติดตั้งเลยก้ได้

Install Cygwin!

ดาวน์โหลดไฟล์ setup.exe มาแล้วก็ดับเบิ้ลคลิก เข้าสู่การติดตั้งเลยครับ

Cygwin Install and configuration

กด Next  ไปเลยครับ

Cygwin Install and configuration  ในที่นี้ผมเลือกดาวน์โหลดไฟล์ install มาไว้ที่เครื่องเราด้วย แล้วก็ Install ด้วย ก็ให้เลือก Install from internet 

Cygwin Install and configuration ให้โปรแกรมติดตั้งที่ไหน

Cygwin Install and configuration เลือกโฟล์เดอร์ที่จะเก็บไฟล์ไว้ install วันหลัง

Cygwin Install and configuration Next ไปเลยครับ

Cygwin Install and configuration 

รอจนกว่าจะติดต่อสำเร็จ จนมาถึงขั้นตอน Select Packages ให้เราเลือกเฉพาะ Packages ที่จำเป็น แค่

gcc-core: C compiler
gcc-g++: C++ compiler
gdb: The GNU Debugger
make: the GNU version of the 'make' utility

โดยพิมพ์ชื่อเข้าไปที่ช่อง Search แล้วติกเลือกหน้าช่องที่เราต้องการเท่านั้นครับ ตัวอื่นไท่ต้องเอามา เดี๋ยวมันจะนานซะเปล่าๆ

Cygwin Install and configuration Cygwin Install and configuration Cygwin Install and configuration

หลังจากติดตั้งเสร็จแล้ว เราต้องปรับแต่ง Path ของ windows ให้มองเห็นตัวแปลภาษาซีของเราซะก่อน ให้ไปที่

Settings > Control Panel > Performance and Maintenance > System
แล้วเลือกแท๊ป Advance แล้วเลือก Environment Variables. ให้ใส่ค่า C:\cygwin\bin; ต่อเข้าไป

NetBeans 6.9.1 Install and configuration

แล้วคลิก OK ตรงนี้ไม่ยาก เพื่อนๆน่าจะทำกันได้ ไม่มีปัญหานะครับ แล้วก็ restart สักครั้ง เพื่อความเป็นสิริมงคล (เกี่ยวไหมเนี้ย –_-“ )

ทดลองเขียนโปรเจคแรกกันเลย

NetBeans 6.9.1 Install and configuration 

เลือก C/C++ Application

NetBeans 6.9.1 Install and configuration

เลือก เอารูปแบบภาษา C ตามรูปนะครับ พร้อมกันนั้น เค้าจะสร้าง main ไฟล์ให้ด้วย

 NetBeans 6.9.1 Install and configuration

ไปที่ source file แล้วคลิกเลือก main.c มาแก้ไข เพิ่มเติม

 NetBeans 6.9.1 Install and configuration

พิมพ์โค๊ดสุดคลาสิคเข้าไป printf(“Hello NeBeans 6.9.1, I love you.\n”);

เสร็จแล้วกดปุ่มสามเหลี่ยมสีเขียวด้านบนเพื่อทดสอบ Run ดู ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจะปรากฏ cmd ดังภาพ

NetBeans 6.9.1 Install and configuration

คุณทำสำเร็จแล้ว ต่อไปก็ลุยกันไปเลย แล้วขอให้สนุกกับการเรียนรู้ภาษาซี นะครับ

อ่านเพิ่มเติม...

29.9.10

Back to (for) Future ย้อนเวลาหา C อีกครั้ง



ภาษาซี C languageห่างหายวงการไปนาน ช่วงนี้ผมยุ่งจริงๆ พยายามจะมาเขียนบทความอัพเดทบล๊อก แต่ก็หาเวลาไม่ค่อยได้ ช่วงเวลาที่หายไป ผมกำลังเมามันส์กับไมโครคอลโทรลเลอร์อยู่ แล้วกำลังสร้างบล๊อกเพิ่มด้วย ก็กะว่าจะเอาไว้เขียนเรื่องเกี่ยวกับไมโครคอลโทรลเลอร์หน่ะครับ รอติดตามก็แล้วกัน

พอพูดถึงเรื่องไมโครคอลโทรลเลอร์ ก็ต้องพูดถึง complier ที่ใช้ในการสสร้าง hex ไฟล์ เพื่อสั่งให้ไมโครคอลโทรลเลอร์ของเราทำงานตามฟังก์ชั่นที่เราต้องการ หากม่นับภาษาแอสแซมบลีแล้ว  ผมคิดว่าภาษาซี คือภาษาที่มความเร็วมากที่สุด ในการประมวลผล และนอกจากนี้ ภาษาซี ยังเป็นภาษาต้นแบบของแทบจะทุกภาษาที่เกิดขึ้นมาทีหลัง นับได้ว่าเป็นรากฐานของทุกภาษาเลยก็ว่าได้ หากเราเข้าใจภาษาซีแล้ว ก็แทบจะพูดได้ว่า คุณเข้าใจภาษาอื่นๆไปแล้ว เกินครึ่งหรือแทบจะทั้งหมด

ช่วงที่หายไป ผมก็กำลังศึกษาภาษาซี ของแต่ละค่าย จริงๆภาษาซีหลักๆ เค้าอ้างอิงตามมาตรฐาน ANSI C อยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเป็นภาษาซี ที่เป็น complier แล้ว ของแต่ละค่ายก็จะแตกต่างกันออกไปนิดหน่อย แต่หลักๆแล้ว ก็ยังอ้างอิงกับ ANSI C อยู่ดี

C Complier

เป็นเรื่องน่าตลกที่ผมเขียนภาษา PHP ได้ก่อน ก่อนที่ผมจะเขียนภาษาซีได้เสียอีก ทั้งๆที่ ภาษา PHP นั้น ก็มีต้นกำเนิดมาจากภาษาซี เหมือนกัน แต่ PHP  นั้นอ่อนตัว ไม่ค่อยเข้มงวดเหมือนภาษาซี เช่น ไม่ต้องมีการประกาศตัวแปร ก่อนนำไปใช้งานเหมือนภาษาซี พอผมลองได้มาจับภาษาซีแล้ว ทำให้ผมรู้ตัวเลยทันทีว่า PHP ที่ผมเขียนนั้น มันช่างดูและเทะ อะไรอย่างนี้ บางจุดเรามักง่ายมากๆ Bug เพียบ  แต่นั้นก็เป็นไปตามประสาคนที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง มันย่อมมีจุดบกพร่องอยู่ในตัวมันเสมอ

ถ้าคุณเป็นคนนึง ที่คิดจะหันมาเล่นทางไมโครคอลโทรลเลอร์ แล้วหล่ะกัน ผมขอแนะนำ จับภาษาซีให้แน่นๆ อย่างหยุดยั้งอยู่เพียงแค่การ printf ได้เท่านั้น ในโลกของไมโครคอลโทรลเลอร์มันมีอะไรที่มากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดค่าตัวแปรให้เหมาะสมกับตัวเลขที่คำนวณได้ การใช้ Macro การใช้ pointer การจัดการกับข้อมูลที่เป็นตัวอักษร การใช้ตัวแปรแบบ enum และ struct  คุณต้องเอาให้คล่องเลย ไม่งั้นตันแน่ๆ ต้องย้อนกลับมาเหมือนผมแน่ๆ

และปัญหาอีกอย่างหนึ่งผมเกิดกับผม นั่นก็คือ ความรู้สึกอึดอัด เนื่องจาก memory ของ ไมโครคอลโทรลเลอร์ มันช่างน้อยเสียนี่กะไร จะมาเขียนโปรแกรมแบบสุ่มสี่ สุ่มห้า หรือตามใจฉันไม่ได้อีกแล้ว เพราะทุกบรรทัด คือ การใช้ memory ที่มีอยู่อย่างจำกัดบนตัวไมโครคอลโทรลเลอร์ ทำอย่างไร เราจะให้โปรแกรมเราบรรลุวัตถุประสงค์โดยที่ memory ไม่หมดไปเสียก่อน อันนี้ต้องคิดอยู่เสมอ

ในส่วนของ web programming ผมคงไม่ได้ต่อยอดไปไกลกว่านี้อีกแล้วหล่ะ สิ่งที่ท้าทายที่ผมกำลังทำอยู่ก็คือ ทำให้ของทั้งสองอย่างทำงานร่วมกันได้อย่างสอดคล้อง นั่นคือ เป้าหมายที่ผมจะไปต่อไป เพียงแต่ว่า ตอนนี้มันแค่เพียงเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง

ชมวีดีโอสาธิตการประยุกต์ใช้ WEB programming กับไมโครคอลโทรลเลอร์ หรือรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก

อ่านเพิ่มเติม...

25.2.10

Python Classroom Project แอบซุ่มทำอยู่




Python Classroom project     ห่างหายไปนานสำหรับบทความนี้จากบล๊อกโปรแกรมเมอร์(จำเป็น) ไปซะนาน  ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ตอนนี้ไปซุ่มทำโปรเจคใหม่อยู่ ถือเป็นการทดลองไปด้วย อยากลองเปลี่ยนไปเขียน content กับ Google site ดูหน่ะครับ

      ก็เลยตั้งใจว่า เนื้อหาที่เกี่ยวกับทั้งหมด จะยกไปไว้ที่ Python Classroom เพื่อนๆที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับไพธอน ก็ตามไปที่นั่นได้ ในส่วนของ Blog โปรแกรมเมอร์(จำเป็น) ก็ยังจำเป็นอยู่ ยังต้องอัพเดทกันต่อไป ส่วนจะเน้นไปทางแนวไหน ก็ยังบอกไม่ได้เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับความจำเป็นจริงๆ

      ใน Python Classroom ผมได้วางคอนเซ็ปต์ไว้ว่า จะมีเนื้อหาเป็นบทเรียน ยกตัวอย่างโมดูลที่น่าสนใจ แล้วก็จะมีตัวอย่างโค๊ดไพธอนให้เพื่อนๆไปศึกษากัน โดยเนื้อหาทั้งหมดผมก็ค้นคว้ามาจาก text book บ้าง จากเว็บไซต์อื่นๆ บ้าง และก็จากประสบการณ์ในที่ทำงานบ้าง บางครั้งหากเจอมุขเด็ดๆของไพธอนที่เค้าเอามาใช้งานจริง ผมก็จะพยายามนำมาอัพเดทลงใน Python Classroom

      คงต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า ผมก็ไม่ได้เชี่ยวชาญในตัวภาษาไพธอนมากเท่าไหร่เลย แต่ผมถือคติว่า

“The first step is always the hardest การเริ่มต้นทำสิ่งใดสิ่งที่ยากที่สุดก็คือตอนเริ่มต้นทำ”

      เพระฉะนั้น จะเป็นการดีมาก ที่ทำ Python Classroom project นี้ขึ้นมา เพราะนอกจากจะเป็นการบังคับให้เราเอาชนะในการเข้าใจในภาษาไพธอนแล้ว ยังมีโอกาสได้นำประสบการณ์มาถ่ายทอดให้น้องๆ รุ่นต่อๆมา ให้หันมาศึกษาภาษาไพธอนกันให้มากๆ ขึ้นอีกด้วย และจะได้มีแหล่งความรู้ในการศึกษาไปพร้อมๆกัน

      ผมคิดว่าอนาคตของภาษาไพธอนยังไปอีกได้ไกลแน่ๆ ด้วยความที่มีคนพัฒนาโมดูลต่างๆออกมาให้ใช้กันอย่างมากมาย และความยืดหยุ่นของตัวภาษา จึงทำให้ภาษาไพธอนถูกนำไปใช้ในหลายๆ องค์กร ไม่ว่าจะเป็น นาซ่า หรือแม้แต่ Google ของเรา เพราะฉะนั้น จึงอยากให้เมืองไทยได้มีแหล่งเรียนรู้ภาษาไพธอน เพื่อวันหนึ่งเราอาจจะเห็นคนไทย สร้างสรรค์ผลงานที่เขียนด้วยภาษาไพธอน ออกสู่สายตาชาวโลกสักครั้ง (ไม่รู้ฝันไปหรือเปล่า)

      หลายคงอาจจะรู้สึกว่าทำไมผมจึงเชียร์จังเลยกับตัวภาษาไพธอน ภาษานี้มันทำอะไรได้มั่ง ตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจในตัวภาษาไพอนทั้งหมดหรอกครับ แต่เท่าที่เห็น เจ้าตัวภาษาไพธอนสามารถเขียนให้ติดต่อกับ hardware บางตัวได้ ยันไปจนถึงเขียนเว็บ application ได้ ฉะนั้นจะดีกว่าไหม หากเพื่อนๆ มาเขียนภาษานี้ แล้วสามารถทำงานได้ครอบคลุม ตั้งแต่ hardware ไปจนถึงโปรแกรมมิ่งเน็ตเวิร์ค โดยที่ไม่ต้องผ่านตัวแปลภาษาอื่น เพื่อเชื่อมต่อทั้งหมดเข้าด้วยกัน  งั้นอย่ารอช้าเลย มาศึกษาพร้อมกันเถอะครับ Let’s Go !!!

python hardware network

อ่านเพิ่มเติม...

24.2.10

โปรแกรม Reset router HUAWEI MT880




โครตเซ็ง เนตหลุด

          ช่วงนี้ น่าเบื่อกับอินเตอร์เนตที่บ้านมากๆ ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนกันหรือเปล่า อย่าให้บอกเลยว่าเจ้าไหน ยิ่งช่วงหกโมงเย็นไม่ต้องพูดถึง เขาไม่ได้เลยหล่ะ และปัญหาหนึ่งที่เจอบ่อยๆก็คือ เจ้า Router HUA WEI MT880 ของผม มันจะทำท่าทาง Reuest ใหม่ ตลอด แต่ช่วงที่มันกำลัง Request ใหม่นั้น มันจะรอนานมากๆ บางทีเราก็ก้มไปดูมันนะ แล้วก็นึกในใจ “มึงกำลังทำอะไร ของมึงอยู่ว่ะ” บางทีรอมันไม่ไหว ก็จะก้มไปกดปุ่มรีเซ็ตให้มันขอไอพีใหม่ ซึ่งมันจะเร็วกว่าปล่อยให้มัน รีเซ็ตตัวเอง

       มาพักหลังๆ เริ่มเป็นบ่อยขึ้น ชักทนไม่ไหว ก้มมากๆปวดหลัง จะเอา router มาวางบนโต๊ะ ก็แทบจะไม่มีที่วางอยู่แล้ว นึกแล้ว ก็เลยเขียน script ตัวหนึ่ง ให้ telnet เข้าไป reboot เจ้า router HUA WEI มันซะเลย ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป

จริงๆ script ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เราเอาคำสั่งที่เรา telnet เข้าไปที่ router ใส่ password แล้วก็สั่ง reboot router แค่นั้นเองมาจับเรียงใส่โปรแกรม แล้วก็ complie เป็น exe เก็บไว้เรียกให้มันทำงาน ตอนที่เราต้องการ telnet router

reset router

ใครสนใจโปรแกรมนี้ ก็โหลดไปเลยครับ ส่วนตัว password  ที่ใช้เข้า HUAWEI ก็ไปแก้ใน file myfile.iniกันเอาเองนะครับ ของใครของมัน

download

อ่านเพิ่มเติม...

12.2.10

Thai Beginner Programmer with English language

Bot Programmer วันนี้มีเรื่องๆหนึ่ง ที่อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม หรือเทคนิคการใช้โปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง แต่คิดว่าเป็นสิ่งๆหนึ่งที่คนที่จะเขียนโปรแกรมนั้นจำเป็นต้องมี นั่นก็คือ เรื่องของภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ

ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เกือบจะร้อยเปอร์เซนต์เลยก็ว่าได้ ส่วนใหญ่แล้วจะมีคู่มือ หรือหน้าตาโปรแกรมเป็นภาษาอังกฤษ เด็กไทยหลายๆคน หรือน้องๆบางคนที่อยากจะเขียนโปรแกรม ก็เริ่มจากการอ่านหนังสือการสอนเขียนโปรแกรมแบบภาษาไทย ตามหนังสือตำรับตำราภาษาไทย ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่เริ่มจะศึกษา แต่ก็ใช่ว่าความรู้และเทคนิคการเขียนโปรแกรมในภาษานั้นๆ จะถูกอธิบายไว้จนหมด แล้วบรรจุลงในหนังสือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ราคาเล่มไม่เกิน 500 บาท (สำหรับหนังสือไทย) ก็หาไม่ หลายต่อหลายครั้งที่เรามักเจอปัญหาที่นอกเหนือจากที่หนังสือคอมพิวเตอร์ได้กล่าวไว้ สิ่งหนึ่งที่เราจะทำต่อมานั้นก็คือ การโพสคำถาม ไว้ตามเว็บบอร์ดไทยต่างๆ เพื่อรอผู้รู้มาตอบ ( บางทีเราก็เรียกผู้รู้ว่า “เทพ” ) อาจะได้คำตอบบ้าง ไม่ได้คำตอบบ้าง ก็แล้วแต่บุญแต่กรรม

หลายคนลืมนึกไปว่า โปรแกรมที่เรากำลังเขียนอยู่นั้น ตัวมันเองก็มีคู่มืออยู่แล้ว (แค่กด F1 มันก็โผล่มาแล้วคู่มือ) แต่ด้วยความที่คู่มือนั้นเป็นภาษาอังกฤษ เอาแล้วซิ งานเข้าเป็นสองเท่า นอกจากจะงงกับภาษาโปรแกรมที่ตัวเองเขียนแล้ว ยังมางงกับภาษาอังกฤษอีก T_T เศร้าเลย

จะหลีกเลี่ยงไปได้อย่างไรเล่า เว้นเสียแต่คุณจะเขียนภาษาโปรแกรมของคุณขึ้นมาเอง เช่น ภาษา ก  ภาษา ข หรืออะไรประมาณนี้ ก็ในเมื่อภาษาคอมพิวเตอร์เราไม่ได้เป็นคนคิดค้นขึ้นมาเอง ก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่เราจะต้องยอมรับในตัวภาษาของเจ้าของโปรแกรม ฉะนั้นทำใจให้ยอมรับเถอะครับ

บ่นซะมานาน ความจริงก็อยากจะให้เพื่อนๆสนุกกับภาษาอังกฤษ อย่างที่เค้าว่านั่นแหละ English is fun!!! มาเถิด มาสนุกกับมัน

พอดีไปเจอเว็บอยู่เว็บหนึ่ง เค้าทำได้ดีมากๆเลย เป็นเว็บที่เอาไว้ให้เราแชทกับหุ่นยนต์ (Bot) โดยที่เราจะต้องสนทนากับมันด้วยการพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ แล้วมันก็จะโต้ตอบกับเราเป็นภาษาอังกฤษด้วย เฮ้ย สุโค่ยยยย

ตอนแรกๆ นึกว่ามันจะมั่วๆ แต่ผมว่าเค้าทำได้ดีทีเดียวเลยหล่ะ ค่อนข้างฉลาด (แต่คงไม่เท่าคนจริงๆหรอก) ผมถามคำถามไปสองครั้งติดๆกัน มันด่ากลับมาว่า ที่บ้านมันเค้าไม่สอนกันแบบนี้ (แหนะ ดันมาสอนมารยาทเราอีก) ก็อยากให้เพื่อนๆไปลองเล่นกันดูครับ หวังว่าคงทำให้ชอบภาษาอังกฤษกันมากขึ้น นอกจากจะทำมให้เราชอบภษาอังกฤษแล้ว ยังทำให้เรามีวิศัยทัศน์มากขึ้นไปอีกด้วย โลกเรามันกว้างใหญ่มากๆเลย บางอย่างที่เราคิดว่ารู้แล้ว จริงๆอาจไม่ได้มีแค่นั้นก็ได้ครับ ต่อไปเราอาจจะไปโพสถามหรือโพสคำตอบกับฝรั่งบ้างก็ได้ ใครจะไปรู้

Bot tutor English

English Tutor by BOT

อ่านเพิ่มเติม...

11.2.10

Google Buzz ใครใช้ GMail รีบไปลองกันด่วน

Google Buzz

      หลังจากที่ปล่อยให้ชาวบ้านเค้าปล่อย web social network ออกมาให้ผู้ใช้อินเตอร์เนต ติดอกติดใจกันไปหลายๆเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Facebook , Twitter คราวนี้ก็มาถึงคิวของกูเกิ้ลบ้างแล้ว ที่จะมี social network กับเค้าบ้าง โดยที่กูเกิ้ลอาศัยฐานลูกค้าจากผู้ใช้ Gmail เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยในปัจจุบันมีผู้ใช้ Gmail แล้วประมาณ 170 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นความได้เปรียบอยู่แล้ว เพียงแค่ผู้ที่ใช้ Gmail อยู่แล้วเข้าไปที่ Google Buzz แล้วเข้าไปคลิก Try Buzz in Gmail เพียงเท่านี้ เราก็จะได้ ลิงค์ Buzz พร้อมไอคอนหน้าตาสวยงามปรากฎอยู่ล่างลิงค์ inbox ซึ่งผมก็ไม่รอช้า เข้าไปคลิกเรียบร้อยแล้วครับ แล้วเพื่อนๆหล่ะ เข้าไปคลิกกันหรือยัง

Google Buzz กูเกิ้ลบุช

       ถ้าถามว่า เราจะได้อะไรจาก Buzz คำตอบก็คงไม่ต่างอะไรกับที่เราได้จาก Twitter และ FaceBook เท่าไหร่ เพียงแต่เป็นการแบ่ง Market sharing ของ social network ที่มีอยู่ในขณะนี้เท่านั้นเอง ซึ่งผมมองว่าอะไรที่มีแนวโน้มไปได้ดี ถ้าไม่โดนกูเกิ้ลเข้ามาซื้อ กูเกิ้ลก็เข้ามาทำแข่งขันด้วย ซึ่งใครจะอยู่ใครจะไป มันเป็นเรื่องของความพอใจของยูสเซอร์ล้วนๆ ซึ่งแต่ละเจ้าล้วนผ่านกระบวนการทำ Marketing Research มาแล้วทั้งนั้น ไม่ใช่นึกอยากจะทำก็ทำ

      ผมเป็นคนหนึ่งเหมือนกันที่ใช้ application ที่กูเกิ้ลทำออกมาให้ใช้แทบจะทุกอันแล้ว ขาดอยู่ไม่กี่อย่างที่ยังไม่ได้ทดลองใช้ ไม่ว่าจะเป็น Google Wave, Gmail, , Google Adsense ,Google Reader, iGoogle, Google site, Google Docs, , etc ลองๆเข้าไปเล่นดูครับ ผมว่าสะดวกดี

     สุดท้ายอยากให้เพื่อนๆลองมาใช้ Gmail ดูกันครับ สะดวกดี ทั้งเร็วและความจุก็เยอะด้วยครับ ในอนาคตคิดว่ายังมีของเล่นใหม่ๆมาเสริมใน Gmail อย่างเช่น Google Buzz อีกแน่ๆ

ปล. เช้านี้เปิด GMail มา ปรากฏว่า ผมได้สิทธิเข้าใช้ Google Buzz แล้ว เย้ๆๆๆ

Google Buzz in GMail

อ่านเพิ่มเติม...

18.1.10

Google PageRank สำคัญไฉน???

Google PageRank Bar     หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะมีเว็บเป็นของตัวเอง อยากมีเนื้อหา สาระความรู้เอาไว้ในเว็บ แล้วก็อยากให้คนที่เค้ากำลังค้นหาจาก Google เจอเว็บไซต์ของคุณแล้วหล่ะก็ คุณจะต้องเข้าใจคำว่า PageRanK ซึ่งเป็นคะแนนที่ Google จะให้กับเว็บไซต์ของคุณว่าจะมีคะแนนเท่าไหร่ ซึ่งคะแนนจะมีตั้งแต่ 0 จนถึง 10 ยิ่งเว็บไชต์ใครได้คะแนนเข้าใกล้ 10 ยิ่งดี แต่ถ้าเว็บไซต์ของใครที่ยังได้ค่า PR เท่ากับ 0 หรือได้ N/A ( Not Available) ก็ต้องพยายามให้มากๆ เพื่อให้เว็บไซต์ของตัวเองไต่อันดับขึ้นไป ให้ได้ PR มากๆขึ้นไป เพราะเมื่อโอกาสที่ PR มีค่าสูงๆ ก็ย่อมที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณ อยู่อันดับต้นๆของการค้นหาในคำหรือ keyword นั้นๆ นั่นเอง ซึ่งนั่นก็จะมีโอกาสแจ้งเกิดในวงการมากขึ้น

แล้วเราจะทำอย่างไรหล่ะ? ในการเพิ่ม PageRank ของเรา !!!

อย่างแรกเลยเรามาดูกันก่อนดีกว่าว่า มีตัวแปรใดบ้างที่จะทำให้เราได้ค่า PR จาก Google เพิ่มขึ้น อ้อลืมบอกไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ Google เค้าจะทำการปรับค่า PR ของเว็บไซต์เราอยู่สม่ำเสมอ อาจจะใช้เวลาในการปรับ PR นานเป็นเดือนๆ ซึ่งบรรดาเว็บมาสเตอร์ระดับเทพทั้งหลายจะรู้เวลาดี พอใกล้ถึงเวลาปรับ PR ก็รีบงัดกลยุทธเทคนิคของแต่ละคนออกมา ซึ่งก็แล้วแต่เทคนิคใครเทคนิคใคร อันนี้ไม่ขอฟันธงดีกว่า เพราะผมเองก็ยังงูๆปลาๆอยู่ ได้ PR 1/10 ก็บุญแล้ว

Google PageRank Explained

ปัจจุบัน Google มี Algorithm ในการปรับ PR ซึ่งมีความซับซ้อนพอสมควร และไม่ได้มีสูตรตายตัวเสมอไป บ่อยครั้งที่ Google ทำการปรับ Algorithm ในการให้คะแนน PR บางครั้งก็ทำให้บางเว็บ PR ร่วงลงมา บางเว็บก็ PR เพิ่มขึ้นอย่างใจหาย แต่หลายสำนักให้ความคิดเห็นว่าค่า PR ที่ Google ปรับขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้

  • อัพเดทหน้าเวบอย่างสม่ำเสมอ เอาไปเลย PR 2/10
  • มีการเพิ่มเนื้อหาหน้าใหม่ๆในเว็บไซต์ตัวเองอย่างสม่ำเสมอ จัดไป PR 4/10
  • มีเว็บไซต์เพื่อนบ้านที่มี PR สูงๆ โดยมีลิ้งค์วิ่งเข้ามาหาที่เว็บเรา เอาไปเลย PR 7/10
  • เป็นเว็บแนวปีศาจ หมายถึงเป็นเว็บคุณภาพระดับเทพ จัดให้อย่างแรง 7/10
  • มีลิ้งค์คุณภาพจากภายนอกวิ่งเข้ามาที่เว็บเรา 8/10
  • มีลิ้งค์ที่มีความสัมพันธ์กันด้านเนื้อหาความเกี่ยวข้อง 9/10
  • ไม่มีลิ้งค์ที่ตาย หมายถึงลิ้งค์ที่คลิกแล้วหาหน้าเว็บไม่เจอ อยู่ภายในเว็บไซต์ของเรา 5/10
  • นำบทความของเราในหน้าเว็บไป submit เพื่อเพิ่มลิ้งค์ให้วิ่งเข้ามาที่เว็บไซต์เรา
  • ถ้าทำได้ทุกข้อที่กล่าวมาทั้งหมดรวมกัน เอาไปเลย PR 10/10

บางคนอาจจะสงสัยว่า ทำไม้ ทำไม เว็บของเราผ่านไปหลายงวดแล้ว พี่ Google ก็ไม่ยอมปรับ PR ให้สักที ทำมาตั้งนานแล้ว อันนี้ก็มีหลายปัจจัยนะที่ทำให้ PR เราไม่กระเตื้องสักที อาจจะเป็นที่ host ที่เราเช่าอยู่ใน Blacklist ของ Google ก็ได้ หรือว่าโดเมนเนมที่เราไปซื้อมา อาจเป็นโดเมนเนมที่กูเกิ้ล baned ไว้ก็ได้ถ้าเป็นแบบนั้น คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากไปหาเช่าโฮสใหม่เถอะครับ แต่ถ้าไม่ใช่สาเหตุนั้น แล้วมันสาเหตุอะไรหล่ะ เรามาดูกันว่า ปัจจัยที่ทำให้ PR ของเราลดลง และไม่ไปไหนสักที

  • มีลิ้งค์เข้ามาเว็บไซต์เราจากเว็บไซต์ที่ Google ไม่ชอบ พวกเว็บโป๊ เว็บการพนัน ยาเสพติด หรือเรื่องที่ผิดศีลธรรม อันนี้พี่  Google แกไม่ปลื้ม ให้ระวังไว้
  • พวกที่ชอบทำลิ้งค์ฟาร์ม ในอดีตเล่นกันเยอะมุขนี้ ไปสร้างหน้าเว็บที่มีคำแทบทุกคำที่คนชอบค้นหาไปไว้ในหน้าเดียวกัน แต่ทั้งหน้านั้นไม่มีอะไรเลยนอกจาก keyword keyword keyword  แล้วก็ส่งลิ้งค์มาที่หน้าเว็บตัวเอง เว็บพวกนี้ พี่กูเกิ้ลจัดให้เป็นเว็บที่มีป้ายบอกเตือนว่ามีความเสี่ยงต่อการเข้าชม
  • เว็บที่มีเนื้อหาอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง อย่างพวกเว็บที่ใช้โปรแกรมแปลงภาษาจากอีกอันหนึ่งไปอีกอันหนึ่ง พี่ Google แกรู้ทันนะจ๊ะ ถ้าจะทำเอาให้เนียนกว่านี้หน่อย
  • มีลิ้งค์ที่ไปไหนไม่ได้ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ตัวเองมากเกินไป พวกนี้เจ้าแมงมุม (spider bot) มันไต่ไปไหนไม่ได้ มันก็กลับไปฟ้องเจ้านาย (Google) ของมัน
  • แล้วก็พวกที่ใช้ SEO (Search Engine Optimize) Black Hat พวกนี้เป็นพวกใช้เทคนิคแบบมาร ซึ่งหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่งจากการทำแบบนั้น จะได้ PR อย่างกระฉูด แต่จะอยู่ไม่ได้นาน พี่กูเกิ้ลจับได้เมื่อไหร่ ก็จบเมื่อนั้น

ในบางครั้ง ผมมองว่า บางทีถึงแม้ว่า PR ในเว็บเราจะไม่สูงมากนัก แต่ถ้าเนื้อหาเราไม่ซ้ำใครและมีประโยชน์ต่อผู้ค้นหา ย่อมมีประโยชน์มากกว่าถ้าใครที่ตั้งหน้าตั้งตาจะอัดเนื้อหาลงไปในเว็บมากๆ โดยบางทีก็ไม่มีสาระอะไรให้ผู้ค้นหาเลย ก็น่าจะมีประโยชน์มากกว่าและต่อไป เมื่อมีขาประจำมาเยี่ยมเยียนเว็บบ่อยๆ ก็ย่อมที่จะทำให้ PR ของเว็บเรามีค่า PR สูงขึ้นตามธรรมชาติอย่างที่มันควรจะเป็นก็ได้

แล้ว Google เค้ามีสูตรในการคำนวณ PR อย่างไรหล่ะ เอาไว้ตอนหน้าเราจะมาแชร์กันอีกที

ปล. ทุกอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด ผมก็ไม่ใช่กูรู หรอก เพียงแต่ไปค้นหามา แล้วมาเล่าบอกกันอีกที อย่าเชื่อทุกอย่างจนกว่าคุณจะได้ทดสอบมันแล้ว

อ่านเพิ่มเติม...
 

เกี่ยวกับฉัน(ไหมเนี้ย)

รายการบล๊อกอื่นๆ

  • Gearset matching 2021 program - เป็นงานใหญ่ที่เพิ่งจบไป ที่ระยอง ปลวกแดง บริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ คอนเซปต์ คือต้องการเก็บค่าหลังจากการทดสอบชิ้นส่วยรถยนต์ เพื่อเก็บไว้ในฐานข้อมูลให้แผนกถ...
  • Type-Fu : Typing practice game online - หากใครที่สนใจ หรือจะต้องทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หนึ่งในความจำเป็นก็คือ จะต้องเรียนรู้ที่พิมพ์สัมผัสได้ เพราะการที่พิมพ์สัมผ้สได้ มันได้ประโยชน์หลายๆ อย...

Blog อื่นๆ ที่น่าติดตาม

เหล่าบรรดา Blogger